Health
-
เมื่อฉัน “พบว่าตัวเองไม่ได้ยินอีกต่อไป” ควรเริ่มต้นอย่างไร
การมองเห็นนั้นก็เป็นอีกหนึ่งในเรื่องที่สำคัญอย่างมาก แต่ว่านอกจากว่าการมองเห็นนั้นนอกจากจะมีความสำคัญอย่างมากแล้ว การได้ยินเองก็มีความสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน
-
ไอเท็มติดกระเป๋าในช่วงโควิด
ในช่วงโควิดกำลังระบาดนี้ จะออกบ้านแต่ละที ต้องมีอุปกรณ์ยังชีพสำหรับป้องกันโควิดที่เพิ่มมาในกระเป๋า ซึ่งหลายคนก็พกกันมาตลอดแต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าไอเท็มอะไรที่ควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลา วันนี้มาดูไปพร้อมๆ กันเลยว่าจะมีไอเท็มอะไรกันบ้าง 1. หน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยไม่ใช่เพียงไอเทมติดกระเป๋าเท่านั้น แต่ถือเป็นไอเทมสำคัญ เปรียบเสมือนเครื่องแต่งกายที่ต้องสวมใส่ก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันตัวจากเชื้อไวรัสที่อาจปะปนอยู่ในอากาศ และลดการแพร่ระบาดซ้ำของโรค หน้ากากอนามัยนั้น ควรเลือกเป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่มีแผ่นกรองในตัว เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่ดี จะช่วยปกป้องคุณได้มากกว่า ทั้งยังช่วยกรองฝุ่นละออง กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ และสารพิษอื่นๆ ในอากาศได้อีกด้วย 2. เจลแอลกอฮอล์หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ เพราะการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เรียกว่าเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตในช่วงนี้กันเลย แต่เมื่อเราไปข้างนอกการที่จะหาห้องน้ำล้างมือนั้นก็อาจจะไม่สะดวก ดังนั้นเราควร พก เจลแอลกอฮอล์ ติดกระเป๋าของเราไว้เพราะสามารถใช้แทนสบู่ล้างมือได้ แถมยังพกพาได้ง่าย และที่สำคัญในการเลือก เจลแอลกอฮอล์ ควรมีแอลกอฮอล์เข้มข้นมากกว่า 70% ขึ้นไปถึงจะมีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อไวรัสได้ 3. ทิชชู่เปียกฆ่าเชื้อโรค ของใช้เบื้องต้นในการเช็ดทำความสะอาดมือ หรือความสกปรกตามร่างกาย บางครั้งหากเข้าห้องน้ำสาธารณะแล้วไม่มีกระดาษชำระ และไม่สะดวกใจที่จะใช้น้ำจากสายชำระทำความสะอาด ทิชชู่เปียกก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง 4. ถุงมือ เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ๆ เพราะเราจะไม่ต้องเสี่ยงไปจับสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจมีเชื้อไวรัสอยู่ได้ หากเราต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่ ที่ต้องจับข้าวของเครื่องใช้บ่อย ๆ จากผู้คนจำนวนมาก แล้วอาจจะทำให้การล้างมือนั้นทำได้ลำบาก การพก ถุงมือ ไว้เผื่อเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินนั่นก็ถือเป็นไอเดียที่ดีเลย 5. อาหารเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เลือกอาหารเสริมที่ช่วยปรับภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและอยู่ในสภาวะสมดุลเพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อและอาการอักเสบต่างๆ เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายสมดุล ก็ลดโอกาสที่จะป่วยไข้ และสามารถต้านทานโรคหรือไวรัสได้ดียิ่งขึ้น ในช่วงของการแพร่ระบาดแบบนี้ทางลาซาด้า ก็ใจดีจัดโปรโมชั่นแฟลชเซลล์ที่จะลดราคาสินค้าบางชนิดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ขอบอกเลยว่าลดแบบจุกมาก ยิ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับป้องกันโควิดแล้ว มีอยู่ในโปรแฟลชเซลล์แทบจะทุกวัน ดังนั้นใครต้องการสั่งซื้อไอเท็มเหล่านี้แต่ในราคาที่ถูกลองกดเข้าไปดูในแฟลชเซลล์ของลาซาด้าได้นะ
-
การปฏิบัติตัวเมื่อจะทำ ReLEx
หากว่าเอ่ยถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้หลายคนเห็นความสว่างสดใสได้แม้ตนเองจะอยู่ในภาวะสายตาสั้น ก็คือการรักษาแบบ ReLEx โดยวิธีการนี้เป็นการเลสิกแบบที่ไม่ต้องใช้ใบมีดในขั้นตอนการรักษา อีกทั้งยังมีแผลขนาดไม่ใหญ่โตอีกด้วย ต้องบอกเลยว่าผลข้างเคียงนั้นน้อยมาก และเวลาผ่าตัดหรือพักฟื้นก็ไม่นาน และการเตรียมตัวเองก็ไม่ลำบากแต่อย่างใด สิ่งที่ควรปฏิบัติตัวก่อนจะทำเลสิกหรือ ReLEx 1.ไม่ใส่คอนแทคเลนส์แบบนิ่มและแข็ง สำหรับสิ่งแรกที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้มาก่อนก็คือการใส่คอนแทคเลนส์แบบนิ่มนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างมาก สำหรับคนที่กำลังจะทำเลสิคเลยทีเดียว โดยจะต้องผ่านการประเมินสภาพตามาก่อนผ่าตัดในราวๆ 7 วันนั่นเอง อีกทั้งยังสามารถสวมแว่นตาแทนได้ในขณะที่กำลังจะผ่าตัด เพราะดูจะเหมาะสมกว่า อย่างไรก็ดี การใส่คอนแทคเลนส์แบบแข็งเองก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามไม่แพ้กัน เพราะว่าการประเมินสภาพตาก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัดนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก และคอนแทคเลนส์จะทำให้สภาพตาคลาดเคลื่อนอีกด้วย 2.หยุดกินยาแก้สิว รู้หรือไม่ว่ายาแก้สิวบางชนิดนั้นมีผลกระทบกับดวงตาอย่างมาก สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือก่อนวันระเมินสภาพตาหรือก่อนผ่าตัด ให้งดการกินยาเหล่านี้ไปก่อนจะดีกว่า เพื่อป้องกันการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนของแพทย์นั่นเอง สิ่งที่ควรทำในวันทำการผ่าตัด 1.ใส่เสื้อที่เหมาะสม หลายคนอาจจะสงสัยว่าการใส่เสื้อที่เหมาะสมนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งเสื้อที่เหมาะสมนั้นก็คือเสื้อที่มีการผ่าหน้า หรือว่ากระดุมหน้าจะดีที่สุด เพราะว่าจะได้สวมหรือถอดได้แบบไม่ต้องกระทบกระเทือนกับดวงตานั่นเอง 2.ล้างหน้าและสระผม สำหรับใครที่ละเลยการล้างหน้าและสระผม ขอแนะนำว่าให้เลือกเป็นการล้างหน้าหรือสระผมก่อนจะไปทำการผ่าตัดทางสายตา เพราะว่าหากผ่านการรักษามาแล้ว ก็จะล้างหน้าและสระผมไม่สะดวกสักเท่าไรนัก 3.เตรียมเพื่อนหรือญาติ อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำมากที่สุด ก็คือการเตรียมเพื่อนหรือญาติมารับ เพราะหากว่าทำการผ่าตัดไปแล้วจะขับรถเองก็คงไม่สะดวกสักเท่าใด นอกจากนี้ก็อย่าลืมเลือกที่จะเช่าแท็กซี่กลับบ้านก็ได้เช่นกัน สิ่งที่ห้ามทำ สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าการแต่งหน้าทำได้หรือไม่ ขอแนะนำเลยว่าให้งดแต่งหน้า หรือว่าแต่งดวงตา พร้อมกันนั้นก็ต้องงดฉีดสเปรย์และน้ำหอมอีกด้วย อย่าดื่มอะไรที่เป็นเหล้า ไวน์ เพราะอาจจะส่งผลต่อความดันเลือดนั่นเอง และนี่ก็คือเรื่องที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ขอแนะนำเลยว่าให้ศึกษา ReLEx อย่างถี่ถ้วน และพยายามปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาข้างต้น รับรองได้เลยว่าจะทำให้เกิดผลลัพธ์ ReLEx ที่ดีอย่างแน่นอน
-
5 วิธีการเลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก
รองเท้าแตะถือเป็นไอเทมหลักที่ทุก ๆ ท่านจะต้องมี ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตามเพราะว่ารองเท้าแตะนั้นสวมใส่ง่ายและรู้สึกสบายเท้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามรถใส่ลุยในทุก ๆ กิจกรรมได้อย่างไม่หวาดหวั่น แต่ทั้งนี้รองเท้าแตะนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งรองเท้าแตะบางคู่เน้นให้คุณใส่สบายเท้าเป็นหลักแต่ดีไซน์อาจจะไม่เหมาะกับเสื้อผ้าได้หลายสไตล์ ในขณะเดียวกัน รองเท้าแตะบางคู่นั้นสวยเท่ใส่แล้วดูทันสมัย แต่เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน ๆ แล้วจะทำให้คุณมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพเท้าตามมาได้ ในบทความนี้จะพาทุก ๆ ท่านมารู้จักกับ “5 วิธีการเลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพในราคาถูก” กันครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักลักษณะของรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูกกันเลย รองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ รองเท้าแตะเพื่อสุขภาพ คือ รองเท้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์หลักสำหรับทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบายเท้า ไม่ระคายเคืองผิวหนังพร้อมกับสามารถสวมใส่ได้ทั้งวันโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณเท้านั้น โรคที่เกิดจากการบาดเจ็บบริเวณเท้ามีหลากหลายแบบ แต่หลักที่มักเกิดขึ้นกับทุก ๆ ท่านโดยที่ไม่รู้ตัวนั้น สามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้ – โรครองช้ำ เกิดจากเส้นเอ็นบริเวณฝ่าเท้าอักเสบ อาการบาดเจ็บจะเกิดบริเวณส้นเท้า ในบางครั้งอาจลุกลามไปที่อุ้งเท้าได้อีกด้วย จะเกิดการปวดรุนแรงเมื่อมีการลงน้ำหนักที่เท้ามาก ๆ มักจะเกิดช่วงตื่นนอนและระหว่างวันได้ในบางช่วง สามารถแก้ไขหรือบรรเทาอาการเจ็บได้ง่าย ๆ ด้วยรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพที่ราคาถูกและเหมาะสม – โรคเท้าแบน เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการเดินกิจกรรมที่ต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานาน ๆ หรืออาจจะเกิดได้จากโรคพันธุกรรมได้อีกด้วย อาการเจ็บปวดจะเกิดบริเวณอุ้งเท้าเนื่องจากบริเวณฝ่าเท้าเกิดการรับน้ำหนักมาก ๆ เป็นเวลนาน ๆ จึงทำให้เส้นเอ็นที่เท้ายืดและระบมได้ สามารถแก้ไขด้วยรองเท้าเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมและราคาถูกได้ครับ รองเท้าแตะเพื่อสุขภาพและราคาถูก หากเลือกไม่ดีจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีต่อสุขภาพเท้าได้ ดังนั้นจะต้องมีวิธีเลือกที่เหมาะสมดังต่อไปนี้ 1.เลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก ที่ใช้วัสดุที่ได้คุณภาพสมราคา ไม่นิ่มและไม่หนาจนเกินไป2.เลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก ที่มีขนาดที่พอดีกับรูปเท้าของผู้สวมใส่3.เลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก ที่พื้นรองเท้ามีส่วนเว้าโค้งเข้ากับรูปเท้าเพื่อช่วยในการรับน้ำหนัก4.เลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก ที่มีดีไซน์ที่สวยเท่เหมาะสมกับราคา5.เลือกรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพราคาถูก ที่มีพื้นที่ส่วนหัวรองเท้าที่พอดีกับนิ้วเท้าเพื่อป้องกันเสียดสีของนิ้วเท้านั้นเอง เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ “5 วิธีการเลือกรองเท้าเพื่อสุขภาพราคาถูก” ทางเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุก ๆ ท่านเลือกรองเท้าเพื่อสุขภาพได้อย่างเหมาะสมด้วยราคาที่พอดิบพอดี ทั้งนี้เราขอฝาก Scholl เป็นผู้บริษัทผลิตรองเท้าแตะเพื่อสุขภาพที่ราคาถูก ทุก ๆ ท่านที่รักสุขภาพสามารถจับต้องได้ พร้อมกับมีคุณภาพได้มาตราฐานอีกด้วยคร้บ
-
เช็คราคาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานกันดีกว่า
คนที่เพิ่งได้งานมาใหม่ๆแล้วถูกบริษัทที่ตนเองว่า จ้างนั้นต้องทำการตรวจสุขภาพ ก่อนเริ่มงานสิ่งเหล่านี้นั้น ก็จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความจำเป็นด้วยเช่นกันและคล้ายๆคน อาจจะสงสัยว่าราคาในการตรวจเช็คหรือ ราคาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน นั้นขั้นพื้นฐานแล้ว มีอะไรบ้างก็ค่อนข้างที่จะเต็มไปด้วยความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว และค่อนข้างที่จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นทางเลือกที่จะทำให้คุณได้ดูกัน โดยเฉพาะมันจะมีแบบเป็น Package หรือแต่ละโรงพยาบาล หรือบริษัทก็สามารถที่จะจัดได้เป็นอย่างดีและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้อีกด้วย ราคาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน จึงค่อนข้างเป็นความจำเป็น และมีความสำคัญต่อการเรียนรู้หรือความสำคัญต่อการได้รู้ราคา และสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการตรวจโรคโดยตรงทางการแพทย์หรือรวมไปถึงการเอกซเรย์ปอด ฟิล์มใหญ่นำไปใบผลเอกซเรย์มาตรวจสอบ และรวบรวมถึงการตรวจของเหลวอย่าง ปัสสาวะและสารเสพติด ในปัสสาวะรวมถึงตรวจตับอักเสบบี ซึ่งไม่รู้ว่าแต่ละอย่างนั้นก็ถือได้ว่าค่อนข้าง ที่จะมีราคาแต่ถ้าหาแพ็คเกจที่ดีและใน แต่ละโรงพยาบาลนั้นมักจะมีสิ่งเหล่านี้ให้คุณได้เลือกควรที่จะเลือกในราคาที่ถูก และครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้อีกด้วย เพราะมาตรฐานในการตรวจแต่ละโรงพยาบาลนั้น ก็ค่อนข้างที่จะใกล้เคียงและไล่เลี่ยกันไม่น้อย เลยทีเดียวยกเว้นในโรงพยาบาลดังๆเท่านั้นที่จะมีราคาที่สูงขึ้นกว่าที่อื่นได้นั่นเอง ส่วนตัวที่ผมเคยเจอจากราคาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานโดยหลักแล้ว จะอยู่ในเรทประมาณ 3,000 บาทบวกลบไม่เกินนี้ อย่างแน่นอนเพราะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแพ็คเกจ ที่บางโรงพยาบาลนั้นก็จะมีพันกว่าๆและรวมไปถึง การให้บริการต่าง ๆที่เรียกได้ว่าถูกอกถูกใจเป็นอย่างดี อีกทั้งได้ใบรับรองทางการแพทย์ที่สามารถไปยื่นบริษัทได้ในทันทีอีกด้วย สิ่งเหล่านี้นั้นมันจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้าง ตอบโจทย์ ให้กับตัวของผมได้เป็นอย่างดีและสิ่งเหล่านี้ จึงมีความต้องการได้อย่างลงตัว และโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดเลยก็ว่าได้ที่ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยได้อย่างสะดวกสบาย ในการตรวจสุขภาพก่อนที่จะเริ่มงานอีกด้วย สรุปได้ว่า ราคาตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณสามารถตรวจสอบและการบริหารวางแผนทางด้านการเงิน ก่อนที่จะเริ่มงานได้เป็นอย่างดี เพื่อหลีกหนีปัญหาในรายจ่ายที่มากเกินความจำเป็นจริงๆเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูให้ดีเสียก่อน และสิ่งต่างๆเหล่านี้จึงค่อนข้างที่จะเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่มีความจำเป็นอย่างแน่นอนและสร้างสรรค์ได้ อย่างลงตัวและชัดเจนที่สุดเท่าที่จะมากได้เลยทีเดียว และค่อนข้างที่จะเป็นอะไรที่เห็นได้อย่างเต็มที่และการตรวจสอบเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งมีความจำเป็น และความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว
-
การใช้ชีวิต ให้ผ่านพ้น PM 2.5 ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคปอด โรคหัวใจ โรคเรื้อรังอื่นๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้ ควรพักอาศัยอยู่ภายในอาคารบ้านเรือน เลี่ยงการเปิดประตูหรือหน้าต่าง ทำความสะอาดอาคารโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด หลีกเลี่ยงการใช้ไม้กวาด เนื่องจากทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย การใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ หรือหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ตามมาตรฐาน N95 ซึ่งเป็นหน้ากากที่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กมาก หน้ากากควรมีสายรัดสองสาย มีส่วนกดที่เป็นโลหะเพื่อกระชับแน่นกับสันจมูก ซึ่งผ้าเช็ดหน้า ผ้าปิดปากและจมูกที่ใช้ทั่วไป ไม่สามารถป้องกันละอองฝุ่นขนาดเล็กได้ ลดกิจกรรมที่ต้องออกแรง เนื่องจากการออกกำลังกายอาจเพิ่มอัตราการหายใจมากขึ้นกว่าปกติ 10-20 เท่า ซึ่งจะนำมลพิษเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้มากขึ้น ลดแหล่งมลพิษอื่นภายในบ้าน เช่น การสูบบุหรี่ การใช้เตาถ่าน การใช้สเปรย์ฉีดพ่นบ้าน การทำอาหาร การจุดเทียน การใช้เครื่องกรองอากาศและแผ่นกรองอากาศ ที่มีประสิทธิภาพระดับปานกลางถึงสูง เพื่อช่วยลดปริมาณอนุภาคจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องผลิตโอโซน หรือเครื่องเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งมักจะโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถกำจัดเชื้อราและแบคทีเรียในอากาศได้ แต่ความเป็นจริงมีโทษมากกว่าประโยชน์ เนื่องจากระดับโอโซนมักส่งผลกระทบทางสุขภาพต่อมนุษย์ ผู้ที่ใช้รถยนต์ ควรปิดหน้าต่างและช่องอากาศภายในรถยนต์ ปรับให้เป็นระบบที่ใช้อากาศหมุนเวียนภายใน ทั้งนี้ สำหรับรถยนต์บางรุ่นที่ปรับเป็นระบบที่ใช้อากาศหมุนเวียนภายใน อาจพบระดับคาร์บอนไดออกไซด์สะสมและมีระดับสูงขึ้น (มากกว่า 5,000 ppm) จึงแนะนำให้ผู้ที่ใช้รถยนต์เดินทางไกลเปิดหน้าต่างเป็นระยะเพื่อลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ภายในรถ ซึ่งฝุ่น PM 2.5 นี้ สามารถวัดได้โดยการใช้ เครื่องวัดคุณภาพอากาศ เพราะ เครื่องวัดคุณภาพอากาศ จะสามารถวัดค่าอนุภาคขนาดเล็กมากๆ อย่าง PM 2.5 ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเครื่องวัดขนาดอนุภาคจะช่วยให้คุณสามารถทราบถึงค่าฝุ่นในที่ต่างๆ ได้ และสามารถพาตัวเองออกมาจากสถานที่เหล่านั้นได้อีกด้วย
-
จุดที่เป็นแหล่งซ่อนมลพิษในบ้าน ที่คุณอาจไม่รู้ตัว
บ้านที่เราคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด รู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่อาศัย และมนุษย์ทุกคนก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้านมากกว่าที่อื่น แต่รู้หรือไม่ว่าในบ้านของเรานั้น ก็สามารถเป็นแหล่งสะสมมลพษที่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายและคนในครอบครัวได้เช่นกัน หากว่ารู้มาก่อนและไม่ได้กำจัดมันออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีทุกบ้านเสียด้วย จุดไหนบ้างที่เป็นแหล่งสะสมมลพิษ 1.ห้องครัว เป็นห้องที่ใช้ในการประกอบอาหารให้คนในบ้าน และมักจะมีการเผาไหมอยู่บ่อยๆ ซึ่งสิ่งของบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ควันเหล่านั้นก็อาจจะไม่เกาะอยู่ตามห้องต่างๆ กลายเป็นเหมือนกับมลพิษอย่างหนึ่งงด้วย โดยเฉพาะถ้าหากมีพลาสติกติดอยู่ด้วย ควันเหล่านั้นก็จะมีอนุภาคที่เล็กลง ทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายของเราได้มากกว่าฝุ่นทั่วไป ซึ่งต้องใช้ เครื่องฟอก อากาศเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดฝุ่นเหล่านี้ได้ 2.พรมปูพื้น พรมเป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นเหมือนแหล่งสะสมของเชื้อโรค เพราะเท้าของเราในแต่ละวันเหยียบอะไรมามากมาย บางครั้งก็เปียกน้ำด้วย ทำให้พรมที่ปูพื้นมีเชื้อโรคอยู่หลายอย่าง ทั้งตัวไรฝุ่น แบคทีเรีย และเชื้อรา ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นพรมปูพื้นต้องมีการทำความสะอาดบ่อยๆ 3.เครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน ชุดเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับในบ้าน เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ฝุ่นมักจะเข้าไปสะสม และคนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยเวลาทำความสะอาดด้วย ทำให้ฝุ่นสสะสมอยู่บริเวณนี่เยอะ ถ้าหากไม่มี เครื่องฟอก อากาศ ที่ใช้ในการกำจัดฝุ่น เวลาที่เราสูดอากาศเข้าไป ก็จะทำให้ฝุ่นที่เกาะอยู่เข้าสู่ร่างกายได้ 4.เสื้อผ้าเก่าๆ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เป็นอีกจุดหนึ่งงที่เสี่ยงต่อการสะสมของเชื้อโรคได้เช่นกัน โดยเฉพาะพวกตัวไรฝุ่น ที่มักจะไปอาศัยอยู่ตามใยผ้า ถ้าหากเราปับหรือไปสลัด พวกฝุ่นเหล่านั้นก็จะกระจายทั่วห้อง ซึ่งทำให้เกิดเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย ดังนั้นหากมีเสื้อผ้าเก่าๆ หรือเสื้อผ้าที่เปียกชื้อ ควรเก็บออกจากห้องนอนทันที 5.เครื่องปริ้นต์เตอร์ บ้านของหลายๆ คนอาจจะมีเครื่องปริ้นต์เตอร์เอาไว้ใช้ในการถ่ายงาน ซึ่งเครื่องปริ้นต์เตอร์พวกนี้ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดมลพิษเช่นกัน โดยเฉพาะพวกหมึกเครื่องปริ้นต์ ถ้าในห้องนั้นไม่ได้มี เครื่องฟอก อากาศติดตั้งงเอาไว้ พวกฝุ่นที่เกิดจากสารเคมีจากหมึก ก็จะเข้าสู่ร่างกายของเราโดยตรงได้ทันที 6.เครื่องสำอาง โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีเครื่องสำอางติดบ้าอยู่หลายอย่าง ก็เป็นเหมือนกับที่สะสมของสารพิษได้เช่นกัน เพราะส่วนใหญ่เครื่องสำอางล้วนมีส่วนผสมที่มาจากสารเคมีทั้งนั้น เมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราก็ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในร่างกายได้ ถ้าหากร่างกายได้รับทุกวัน สามารถที่จะทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ เห็นไหมว่าในบ้านมีอะไรหลายอย่างที่เราคิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถเป็นอันตรายกับร่างกายเราได้ ดังนั้นคุณควรจัดการทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวอยู่บ่อยๆ และควรหาเครื่องฟอก อากาศเอามาติดตั้งไว้ด้วย จะช่วยให้คุณมั่นใจยิ่งขึ้นว่ามลพิษต่างๆ ที่อยู่ในบ้าน จะไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้
-
สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ในการ ดูแลผู้ป่วย
ผู้ป่วย หมายถึง ผู้ที่เข้ารับการรักษาหรือผู้รับบริการด้วยการพยาบาล โดยมีการจำแนกประเภทของผู้ป่วยไว้ 2 ประเภท คือ ผู้ป่วยใน หมายถึงผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล อย่างน้อย 6 – 8ชั่วโมง หรือผู้ที่ต้องเสียค่าห้องและอาหารประจําวันในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและสถานพยาบาล ผู้ป่วยนอก หมายถึง ผู้ที่รับการบริการหรือเวชภัณฑ์อันเนื่องมาจากการรักษาพยาบาลในแผนกผู้ป่วยนอกหรือในห้องรักษาฉุกเฉินของโรงพยาบาลและสถานพยาบาล หรือผู้ที่รับการศัลยกรรมผ่าตัดเล็ก (minorsurgery) โดยไม่เป็นผู้ป่วยในตามนิยามผู้ป่วยใน และผู้ป่วยทั้ง 2 ประเภท ยังคงจำแนกได้อีกว่า เป็นผู้ป่วยรายที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ในกรณีผู้ป่วยใน ที่ได้รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล อีกทั้งยังเป็นผู้ป่วยที่ไม่มีสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จะต้องได้รับการดูแลจากคนใกล้ชิด คนในครอบครัว หรือแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนั้นๆ ผู้ป่วยประเภทนี้จะต้องมีการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยนั้น ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการขับถ่าย การรับประทานอาหาร โดยปัจจัยที่เสียงที่ควรเฝ้าระวังและผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ มีดังนี้ เสี่ยงเกิดแผลกดทับ การที่ผู้ป่วยนอนนานๆ บริเวณที่เป็นปุ่มกระดูกต่างๆ เหล่านี้จะขาดเลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนัง จึงทำให้เซลล์บางตัวตายจนเป็นแผลไปเรื่อยๆ สามารถเกิดขึ้นได้หลายจุด เช่น ท้ายทอย สะบัก ศอก สะโพก กระดูกก้นกบ ส้นเท้า เป็นต้น ในระยะแรกอาจเกิดอาการลอกแค่ที่ผิว แต่พอนานวันเข้าก็อาจจะลอกไปจนถึงชั้นกล้ามเนื้อ หรืออาจจะถึงชั้นกระดูก และเมื่อร่างกายปราศจากผิวหนังซึ่งทำหน้าที่ปกคลุมเเล้ว โอกาสเกิดการติดเชื้อจึงมีมากขึ้น และอาจรุนแรงถึงชีวิตได้ ภาวะกลืนลำบาก ความผิดของช่องปาก เป็นสาเหตุของภาวะกลืนลำบาก มีความเสี่ยงต่อการสำลักในขณะรับประทานอาหาร อาจทำให้ปอดเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ เพราะเศษอาหารหลุดเข้าไปที่หลอดลม และที่แย่ไปกว่านั้น คือเศษอาหารชิ้นใหญ่อาจเข้าไปอุดหลอดลมได้ ดังนั้น ผู้ดูแลควรปรับเตียง 45-90 องศา จับลุก นั่งบนเตียง โดยใช้หมอนช่วยดันหลังให้ทรงตัว นอกจากนี้ ควรปรับอาหารให้เหมาะสม ความสะอาด เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากที่ผู้ดูแลไม่ควรจะละเลย เนื่องจากความสะอาดเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในหลายๆ ด้าน เช่นสภาพทางด้านร่างกาย หากร่างกายไม่สะอาด จะส่งผลให้อาการเจ็บป่วยนั้นหนักกว่าเดิม ภาวะสุขภาพจิต ปัญหาด้านสภาพจิตใจก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ดูแลจำเป็นต้องเอาใจใส่ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีภาวะของโรคแตกต่างกัน แต่สิ่งที่คล้ายกัน คือความเบื่อหน่าย และความทุกข์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้ดูแลสามารถหากิจกรรมต่างๆ มาทำร่วมกับผู้ป่วย เพื่อผ่อนคลาย และลดความเศร้าลง ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีได้ หรือผู้ดูแลควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม และความปลอดภัย
-
ชุดออกกำลังกายจำเป็นมากน้อยแค่ไหน
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ทุกควรทำเป็นประจำ เพราะหากไม่ออกกำลังกายแล้ว ร่างกายจะอ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่าย มีการสะสมของไขมันส่วนเกิน ทำให้อ้วนและนำมาซึ่งโรคร้ายแรงอีกมากมาย แต่หากทำการออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ไม่ป่วย มีผิวพรรณดี รูปร่างดีสมส่วน ใส่เสื้อผ้าแบบใดก็สวยเป็นที่น่ามองของคนทั่วไป แต่ว่าหลายคนเมื่อไปออกกำลังกายจะมีความกังวลใจว่าควรที่จะซื้อชุดออกกำลังกายหรือไม่ ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบมามาบอกกัน ชุดออกกำลังกายคือชุดที่ได้รับการออกแบบมาใช้ในกิจกรรมออกกำลังกายแต่ละแบบ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกในขณะที่ออกกำลังกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดเคลื่อนที่ผิดจังหวะในขณะที่ทำการออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายแต่ละแบบจะมีชุดที่เหมาะสมในการใช้งานที่ต่างกันออกไป เพราะว่ากีฬาหรือการออกกำลังกายแต่ละแบบจะมีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต่างกัน ดังนั้นการแต่งตัวสำหรับการออกำลังกายจึงมีลักษณะที่ต่างกันออกไป ดังนั้นการเลือกชุดที่จะนำมาใส่สำหรับออกกำลังกายนับว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอยู่ไม่น้อย แต่ชุดที่นำมาใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นชุดที่มีราคาสูงเท่านั้นจึงจะช่วยให้ดูแลอวัยวะในขณะที่ออกกำลังกายได้ เพราะชุดราคาถูกบางยี่ห้อก็สามารถนำมาใช้การออกกำลังกายขั้นพื้นฐานได้ เช่น การวิ่ง การเดิน เป็นต้น ซึ่งชุดที่ทำการใส่ไม่จำเป็นต้องมีการความยืดหยุ่นสูงเหมือนการเล่นโยคะ แต่ต้องให้ความสำคัญกับรองเท้าที่นำมาใส่มากกว่า เพราะว่าส่วนที่ใช้งานในการเดินและวิ่งจะเป็นส่วนของข้อเท้า ฝ่าเท้า ดังนั้นรองเท้าสำหรับการเดินและวิ่งจึงมีความสำคัญมากว่า แต่หากออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะ การเล่นแอโรบิคที่ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งตัว และต้องมีความยืดหยุ่นแล้ว ชุดที่ใช้ใส่ในขณะออกกำลังกายจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อรองรับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในขณะที่ออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงอาการกล้ามเนื้ออักเสบที่เกิดจากการออกกำลังกาย จะเห็นว่าชุดที่ใช้ในการออกกำลังกายมีความสำคัญหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของการออกกำลังกายที่ท่านเลือก ดังนั้นหากท่านมีงบประมาณน้อยก็ควรเลือกออกกำลังกายในแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชุดในการออกกำลังกาย แต่หากท่านมีงบประมาณมากขึ้นก็สามารถเลือกชุดที่เหมาะกับการออกกำลังกายมาใช้ได้ เพื่อให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพที่เต็มที่ทุกครั้ง
-
การดูแลตัวเองในช่วงหน้าหนาวป้องกันโรคร้าย
หน้าหนาวเป็นหน้าที่หลายคนชื่นชอบ เพราะอากาศที่เย็นสบายทำให้สามารถแต่งตัวได้สวยงามมากขึ้น เดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ร้อน ถึงแม้ว่าอากาศในหน้าหนาวจะเย็นสบาย แต่อากาศแบบนี้ก็เป็นที่มาของโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย เพราว่าอากาศหนาวเย็นในช่วงนี้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น โรคไข้เลือดออก โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ เป็นต้น โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ป่วยเป็นไขหวัด ซึ่งโรคนี้มีอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายเหล่านี้มีวิธีการดังนี้ 1.สวมใส่เสื้อผ้าให้อุ่น หน้าหนาวถึงแม้ว่าอากาศบ้านเราจะไม่ได้เย็นจัดเหมือนต่างประเทศที่มีหิมะตก แต่ว่าอากาศก็ถือว่าเย็นกว่าปกติ ซึ่งความเย็นนี้จะมีความชื้นที่ทำให้เซลล์ที่อยู่ในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นในช่วงหน้าหนาวควรที่จะสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นกับร่างกาย อย่าปล่อยให้ร่างกายอยู่ในอากาศเย็นนานเกินไป 2.ดื่มน้ำมาก ช่วงหน้าหนาวควรทำการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะหน้าหนาวผิวหนังจะแห้งง่าย เนื่องจากร่างกายสูญเสียความชื้นให้กับอากาศ อุณหภูมิในร่างกายจึงลดลงอย่างรวดเร็ว จึงควรดื่มน้ำเข้าไปในร่างกายตลอดทั้งวัน โดยน้ำที่ดื่มควรเป็นอุ่นเพื่อให้ร่างกายมีอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการทำงานของระบบเผาพลาญของร่างกาย 3.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในการดูแลตัวเองจะต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นการกิน ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และลดอาหารส่วนที่เป็นไขมัน น้ำตาล แป้งและคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง 4.นอนให้เพียงพอ การนอนพักผ่อนจะทำให้ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ดังนั้นควรทำการพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยสังเกตได้จากความสดชื่นหลังจากตื่นนอน หากมีความรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากที่จะตื่นลุกขึ้นมาทำกิจกรรม แสดงยังนอนไม่มีประสิทธิภาพ แต่หากตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่นแล้ว แสดงว่าการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุว่านอนจำนวนชั่วโมงในการนอน 5.ออกกำลัง การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ เพราะว่าการออกกำลังกายที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ ทั้งด้านการเสริมสร้างภูมิต้านทาน การขจัดของเสีย การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ดังนั้นควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความใส่ใจและมีวินัย เมื่อทำตามคำแนะนำข้างต้นนี้รับรองว่าหนาวนี้คุณจะมีสุขภาพดีห่างไหลจากโรคร้าย